น้ำหมักชีวภาพ สูตรไล่แมลง

น้ำหมักชีวภาพ “สูตรไล่แมลง”

“น้ำหมักสมุนไพรขับไล่แมลงได้จริงหรือ?”  เพื่อนๆหรือพี่ๆที่ทำเกษตรหลายๆคนอาจจะสงสัยเช่นเดียวกันกับผม เพราะน้ำหมักชีวภาพไม่ใช่สารเคมีและไม่มีองค์ประกอบของสารเคมีแต่อย่างใด เป็นสารสกัดที่ได้จากสมุนไพรทางธรรมชาติล้วนๆ แต่จากที่ผมได้ศึกษาและทดลองทำดูพบว่า “เป็นเรื่องจริงครับ”เพราะสมุนไพรที่เรานำมาหมักล้วนเป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน บางชนิดมีรสขมจัด บางบางชนิดจะทำให้แสบตา (ในแมลงตัวเล็กๆ) เช่น สะเดา บอระเพ็ด ตะไคร้หอม หางไหล และข่าเป็นต้น เมื่อเราฉีดพ่นด้วยน้ำหมักสมุนไพรดังกล่าว แมลงต่างๆก็จะบินหนีไปหรือไม่ก็ตายในที่สุด โดยที่เราไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างหรือผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด ซึ่งสมุนไพรที่ใช้ทำล้วนหาได้ง่ายในท้องถิ่น มีรายละเอียดดังนี้ครับ

วัตถุดิบสำหรับทำน้ำหมักชีวภาพ “สูตรไล่แมลง” ดังนี้

- หัวเชื้อดินระเบิด 20 ลิตร
- สมุนไพรไล่แมลง 5 กิโลกรัม
- น้ำส้มควันไม้ (ถ้ามี) 0.5-1 ลิตร
- น้ำมะพร้าว 5 ลิตร
- เปลือกสับปะรด 3 กิโลกรัม

วิธีทำ: นำส่วนผสมทั้งหมดลงในถัง กวนผสมให้เข้ากันดี ปิดฝาตั้งหมักไว้ในที่ร่มประมาณ 7-10 วัน จะเกิดราสีขาวลอยอยู่เหนือผิวของน้ำหมัก ถือว่าใช้ได้แล้วครับ
ประโยชน์: ใช้ฉีดพ่นพืชผักในแปลงปลูก จะช่วยขับไล่แมลงศัตรูพืช เช่น แมลงกัดกินต้นพืช หนอน และเพลี้ยต่างๆ เป็นต้น  

น้ำหมักยูเรีย

“ปัสสาวะ” ก็นำมาทำน้ำหมักได้

ข่าวดีสำหรับคนทำเกษตร เพราะว่า “ปัสสาวะ” ที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่เรียกว่า “ของเสีย” ที่ร่างกายขับถ่ายออกมาในรูปของเหลว ที่เรามองว่าไม่มีประโยชน์อะไร แต่อันที่จริงแล้วกลับเป็นประโยชน์ทางด้านการเกษตรอย่างมาก แต่เราต้องนำมาหมักแล้วเปลี่ยนชื่อให้มันใหม่ เรียกให้ดูมีคุณค่าว่า “น้ำหมักยูเรีย” มีสูตรทำดังนี้ครับ

สิ่งที่ต้องเตรียมในการทำ “น้ำหมักยูเรีย” มีดังนี้
1. ปัสสาวะ 5 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล 1 ลิตร
3. รำละเอียด ½ กิโลกรัม
- หัวเชื้อดินระเบิด 1 ก้อน

วิธีทำ: นำส่วนผสมข้อ 1 – 3 มาผสมรวมกันในถัง คนให้เข้ากัน จากนั้นให้ใส่หัวเชื้อดินระเบิดลงไป ปิดฝาถังไม่ต้องแน่น ตั้งไว้ในที่ร่ม หมักไว้ 10-15 วัน และคนทุกวัน จะเกิดราสีขาวลอยอยู่บริเวณผิวของน้ำหมัก ถือว่าใช้ได้ครับ

วิธีใช้: ก่อนอื่นให้กรองเอาแต่น้ำบรรจุขวดไว้ ปิดฝาไม่ต้องสนิท ตั้งเก็บไวในที่ร่ม หากจะใช้ให้ผสมน้ำหมักประมาณ 10-15 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นพืชผัก หรือจะผสมใส่บัวรดน้ำ รดไปที่ใบหรือโคนต้นพืชก็ได้ จะทำให้พืชเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีใบสีเขียวคล้ายฉีดพ่นด้วยปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ยโฟม เพราะ “น้ำหมักยูเรีย” ที่ว่านี้ ก็คือปุ๋ยยูเรียที่ได้จากธรรมชาตินั่นเองครับ
ข้อมูลจาก: เอกสารประกอบองค์ความรู้และภูมิปัญญา (ศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน)


น้ำหมักชีวภาพ อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับเกษตรกร

“น้ำหมักชีวภาพ” ทางเลือกใหม่สำหรับเกษตรกร

ในการทำเกษตรยุคปัจจุบัน ถือว่าเป็นยุคทองของคนทำเกษตร เพราะทางราชการหรือสื่อต่างๆ ต่างก็ให้ความสำคัญ โดยจะเห็นว่ามีรายการวิทยุหรือสื่อโทรทัศน์ที่เผยแพร่สาธิตแนวทางการเกษตรอยู่หลายรายการ อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ข้อมูลทางด้านการเกษตรออกสู่โลกออนไลน์ให้ผู้สนใจได้ศึกษาหาความรู้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งในการทำเกษตรโดยส่วนตัวของผมแล้ว จะไม่ค่อยเน้นเรื่องปุ๋ยเคมีเท่าไรนัก แต่ก็พอมีใช้บ้างนิดๆหน่อย และตั้งใจว่าจะลดค่าใช้จ่ายเรื่องการใช้ปุ๋ยเคมีลงอย่างต่อเนื่องทุกปี เรียกได้ว่าในปีหนึ่งๆในการทำเกษตรของผมจะเสียเงินให้เป็นค่าปุ๋ยเคมีเพียง 1,000 –1,500 บาทเท่านั้น ปีที่แล้วผมปลูกข้าวสองไร่โดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีแม้แต่นิดเดียว กลับได้ผลผลิตเพิ่มอย่างน่าพอใจ ส่วนฤดูกาลที่จะถึงนี้ผมก็ได้เตรียมการเอาไว้แล้ว คือตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้แปลงนาของผมจะปลอดปุ๋ยเคมี 100 เปอร์เซ็นต์ คือจะใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วยที่ทำเองและปุ๋ยพืชสดแทน หากเกษตรกรท่านใดสนใจก็เชิญทางนี้ครับ..ผมจะเล่าให้ฟัง คือผมจะไถกลบตอซังในแปลงนาเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นฤดูฝนคือช่วงกลางเดือนพฤษภาคม เพื่อให้เกิดการย่อยสลาย จากนั้นก็จะหว่านปอเทืองคลุมดินเอาไว้ แล้วจะไถกลบช่วงระยะออกดอกประมาณ 45 วัน เป็นการใช้ปุ๋ยพืชสดเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน พอถึงฤดูปลูกข้าวผมก็จะทำการไถอีกรอบให้ละเอียด และช่วงที่สำคัญที่สุดของผมก็คือช่วงการทำเทือกหรือช่วงที่เราคราด ก่อนคราดผมจะราดแปลงนาที่ไถพรวนแล้วด้วยน้ำหมักชีวภาพสูตรที่เรียกว่า “จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรขยาย”  ในอัตรา 20 ลิตร / พื้นที่ 1 งาน (แปลงนา 1 แปลง) เพียงครั้งเดียวแล้วคราดกลบให้จุลินทรีย์กระจายทั่วแปลงนา ก็สามารถปลูกข้าวได้เลย และจะใส่อีกช่วงหนึ่งคือระยะที่ข้าวตั้งท้อง โดยจะใส่พร้อมการขังน้ำเข้าแปลงนาตามปกติ ทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วันก็จะขังน้ำออก ซึ่งถือว่าเป็นระยะที่สำคัญ เพียงเท่านี้ผมผลิตที่ตั้งเป้าเอาไว้คร่าวๆ 70 ถัง/ไร่ โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีก็อยู่ไม่ไกลแล้วล่ะครับ